พระมงคลบพิตร หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า หลวงพ่อมงคลบพิตรนั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะผสมระหว่างอู่ทองและสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปอิฐ บุด้วยทองสำริด หน้าตักกว้าง 9.55 เมตร สูง 22.45 เมตร ประดิษฐานในวิหาร พระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด อย่างไรก็ตาม พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองเจือสุโขทัยอย่างพระมงคลบพิตรนี้ นิยมสร้างกันอยู่ยุคหนึ่งในระหว่างแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงสมัยแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม หากสันนิษฐานตามลักษณะพระพุทธรูปแล้ว พระมงคลบพิตรก็น่าจะได้สร้างขึ้นในระหว่างนี้
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด อย่างไรก็ตาม พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองเจือสุโขทัยอย่างพระมงคลบพิตรนี้ นิยมสร้างกันอยู่ยุคหนึ่งในระหว่างแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจนถึงสมัยแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม หากสันนิษฐานตามลักษณะพระพุทธรูปแล้ว พระมงคลบพิตรก็น่าจะได้สร้างขึ้นในระหว่างนี้
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า เดิมนั้น พระมงคลบพิตรประดิษฐานอยู่ทางด้านตะวันออกของพระราชวัง ต่อมาในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม ตรงกับ พ.ศ. 2146 โปรดให้ชะลอพระมงคลบพิตรมาประดิษฐานทางด้านตะวันตกแทน ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานในปัจจุบัน พร้อมกับสร้างพระมณฑปครอบองค์พระไว้ในคราวเดียวกันด้วย
เหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นกับพระมงคลบพิตร คือ เกิดอสุนีบาต (ฟ้าผ่า) ลงยอดพระมณฑป เป็นผลให้ไฟไหม้เครื่องบนพังลงมา ถูกพระเศียรพระมงคลบพิตรหักสะบั้น ตกลงบนพื้น ในคราวนั้น ได้โปรดฯ ให้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์จนเสร็จสมบูรณ์ มีมหรสพฉลองสมโภชสามวันและทรงถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์เป็นอันมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในรัชสมัยพระเจ้าเสือ แต่พระราชพงศาวดารบางฉบับกล่าวแย้งว่าเกิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเชษฐาธิราช
เหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นกับพระมงคลบพิตร คือ เกิดอสุนีบาต (ฟ้าผ่า) ลงยอดพระมณฑป เป็นผลให้ไฟไหม้เครื่องบนพังลงมา ถูกพระเศียรพระมงคลบพิตรหักสะบั้น ตกลงบนพื้น ในคราวนั้น ได้โปรดฯ ให้ดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์จนเสร็จสมบูรณ์ มีมหรสพฉลองสมโภชสามวันและทรงถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์เป็นอันมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในรัชสมัยพระเจ้าเสือ แต่พระราชพงศาวดารบางฉบับกล่าวแย้งว่าเกิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเชษฐาธิราช
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 นั้น พม่าเข้าใจว่าพระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปทองคำ จึงใช้ไฟสุมองค์พระเพื่อลอกทองออก ทำให้องค์พระพุทธรูปตลอดจนพระวิหารได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องบนพระวิหารที่หักลงมา ต้องพระเมาฬีและพระกรข้างขวาแตกหัก ตกลงมากลายเป็นซากปรักหักพังนับแต่นั้นมา จนกระทั่งถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้มีการบูรณะปฏิัสังขรณ์ขึ้น
ในปี พ.ศ. 2463 พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ขณะดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ได้ดำเนินการซ่อมพระเมาฬีและพระกรข้างขวาของพระมงคลบพิตรที่หักให้เต็มบริบูรณ์ด้วยปูนปั้น ส่วนพระวิหารที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 คุณหญิงอมเรศศรีสมบัติ มีศรัทธาปฏิสังขรณ์ฐานพระมงคลบพิตรขึ้นใหม่ ครั้งนั้นจำเป็นต้องลบรอยปูนปั้นของเดิมออกจนหมด เพื่อทำเป็นผ้าทิพย์ลวดลายใหม่เป็นแผ่นตรงแทน
ส่วนซากพระวิหารของเก่านั้น กรมศิลปากรได้ซ่อมแต่งรักษาเพื่อไม่ให้ผุพังทำลายต่อไป และอยู่ในสภาพเช่นนี้เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2499
ส่วนซากพระวิหารของเก่านั้น กรมศิลปากรได้ซ่อมแต่งรักษาเพื่อไม่ให้ผุพังทำลายต่อไป และอยู่ในสภาพเช่นนี้เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2499
ครั้นถึง พ.ศ. 2499 จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีบัญชาให้รื้อซากพระวิหารมงคลบพิตรของเก่าออก และสร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนของเดิม ดังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะองค์พระมงคลบพิตรนั้น ได้ทาสีดำตลอดทั้งองค์
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2533 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาเป็นองค์ประธานเททองหล่อพระพุทธรูปพระมงคลบพิตรจำลอง ได้ประทานพระดำริว่าควรปิดทององค์พระมงคลบพิตรทั้งองค์ จะทำให้องค์พระพุทธรูปมีพุทธลักษณะที่งดงาม น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น อันจะเป็นการส่งเสริมศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชนอีกประการหนึ่งด้วย
ประกอบกับเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงนมัสการพระมงคลบพิตร และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระมงคลบพิตร ดังนั้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงร่วมกับมูลนิธิพระมงคลบพิตร ดำเนินการบูรณะปิดทององค์พระมงคลบพิตร เพื่อความสง่างามตามพระดำริของสมเด็จพระสังฆราชฯ ทั้งนี้โดยการจัดทำเป็นโครงการบูรณะปิดทององค์พระมงคลบพิตร เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ใน พ.ศ. 2535 อีกด้วย
พระมงคลบพิตร เป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญคู่กรุงศรีอยุธยา น่าจะเป็นองค์เดียวกันกับ 'พระพุทธสยมภูวญาณโมฬี' ตามคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งกล่าวว่าเป็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิ หน้าตัก 16 ศอก หล่อด้วยทองเหลือง อยู่ในพระมหาวิหาร วัดสุมงคลบพิตร ซึ่งต่อมาเรียกชื่อวัดย่อลง เป็นวัดมงคลบพิตร พระมงคลบพิตรจัดเป็น 1 ใน 8 พระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพระพุทธานุภาพเป็นหลักกรุง