World of History
  • Home
  • บทความประวัติศาสตร์
  • Webboard
  • Contact
Picture
ทำไมมนุษย์เงินเดือนจึงควรที่จะซื้อประกันชีวิต? 

          1. เป็นการสร้างนิสัยของการออมที่เหมาะสม – การประกันชีวิตช่วยให้คนเราออมทรัพย์ได้อย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยของการออมที่ดีและช่วยให้แต่ละคนสามารถสร้างโครงการ ออมทรัพย์ของตัวเองขึ้นมา คนซื้อประกันชีวิตหรือผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับการแจ้งให้รู้ว่าเมื่อใดถึง กำหนดที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อใดที่เขาจะได้เงินคืนในแต่ละช่วงเวลาจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา ของกรมธรรม์ ทุกสิ่งจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนตายตัว เช่น จำนวนเงินที่ฝาก ระยะเวลาที่จะต้องฝาก จำนวนเงินที่จะมีเหลืออยู่ตลอดเวลาในแต่ละปี ถ้าหากว่าเรามีการออมเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากหลายๆที่และในขณะเดียวกันก็มี กรมธรรม์ประกันชีวิตด้วย จะสังเกตได้ว่าหากเราต้องการใช้เงิน การเลือกที่จะปิดหรือถอนเงินออกมาจากกรมธรรม์ประกันชีวิตควรจะเป็นทางเลือก สุดท้าย เมื่อเทียบกับการถอนเงินจากบัญชีฝากออมทรัพย์ค่ะ 

          2. เป็นการลงทุนระยะยาวอีกแบบหนึ่งที่หาไม่ได้จากพันธบัตรและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ - บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะมีแบบที่ให้เลือกคุ้มครองไปจนถึงเกษียณอายุหรือ ตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาวทีเดียว อีกทั้งผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในสัญญาก็เป็นสิ่งที่การันตีไว้อย่างดี และแอคชัวรีก็จะต้องตั้งเงินสำรองกรมธรรม์เพื่อให้บริษัทมีเงินเพียงพอกับ การผลประโยชน์จ่ายคืนในอนาคตตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งเป็นสิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนถือกรมธรรม์ว่าจะได้รับผลประโยชน์ คืนกลับมาอย่างแน่นอน ตัวอย่างที่ผมได้เจออยู่บ่อยๆ เมื่อครั้งที่ทำงานอยู่ที่ฮ่องกงก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เราไปเปิดบัญชีหรือทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารใดธนาคาร หนึ่ง เจ้าหน้าที่ของธนาคารนั้นบางครั้งจะช่วยให้คำแนะนำในการจัดสรรการลงทุนให้ เหมาะสม เช่น ถ้าเราถือเงินสดในบัญชีออมทรัพย์อยู่มากไป เค้าจะแนะนำให้เปิดบัญชีการลงทุนกับเค้าอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งหลักความคิดของเค้ามีอยู่ว่า หากต้องการลงทุนในระยะสั้นนั้นก็ควรจะถือพันธบัตร แต่หากต้องการการลงทุนระยะกลางก็ควรจะถือหุ้นแทน ซึ่งคนในฮ่องกงส่วนใหญ่ก็จะมีกัน แต่เจ้าหน้าที่มักจะให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดการจัดสรรเงินลง ทุนในระยะยาว จึงควรซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไปจนกว่าจะเกษียณหรือคุ้มครองไปตลอด ชีวิต ดังนั้น หากมองในแง่ของการลงทุนถือได้ว่าการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็ เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้อีกทางหนึ่งนะคะ

          3. ข้อดีในด้านภาษี – สำหรับคนที่ต้องเสียภาษีนั้น ก็คงจะเป็นความรู้รอบตัวที่มีอยู่แล้วว่า การซื้อประกันชีวิตนั้นสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทันได้คิดว่าเงินคืนหรือผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นก็ให้ประโยชน์ด้านภาษีด้วยเพราะไม่ต้องถูก นำไปเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็น: 

               1) เงินคืนรายงวด (ที่การันตี)

               2) เงินปันผล (ที่ไม่การันตี)

               3) เงินสดคืน (เมื่อถอนกรมธรรม์)

               4) ดอกเบี้ยสะสมเมื่อฝากเงินคืนรายงวดหรือเงินปันผลไว้กับบริษัท และ

               5) เงินผลประโยชน์ต่างๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

          ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือลง ทุนอย่างอื่นแล้ว พันธบัตรหรือหุ้นที่ซื้อขายในประเทศไทยนั้นจะต้องเสียภาษีไม่ตอนซื้อก็ตอน ขาย หรือทั้งตอนซื้อและขาย ซึ่งรายละเอียดนั้นอาจจะสอบถามได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายของเครื่องมือการ ลงทุนในแต่ละประเภทค่ะ นอกจากนี้ ภาษีมรดกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะมองข้ามไปหรือไม่เคยได้วางแผนเอาไว้ ดังนั้นด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้นการประกันชีวิตนั้นจึงถือได้ว่าเป็น มรดกที่ปลอดภาษีค่ะ

          4. เป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลา – การประกันชีวิตเป็นการลงทุนเพียงอย่างเดียวที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหาร ความเสี่ยงหรือบรรเทาความเดือดร้อนอันเกิดจากความตาย และคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าความตายที่มีสิทธิมาเยือนได้ทุกเวลาก่อนที่ผู้ลงทุน จะสามารถสะสมรายได้ในจำนวนมากเพียงพอให้กับคนข้างหลัง เพราะฉะนั้นแล้ว คนเราซื้อประกันชีวิตก็เพราะรู้ดีว่าคนเรานั้นเมื่อเกิด สักวันหนึ่งก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ “ทำลายพลังในการหาเงิน (Earning power) ในภายภาคหน้า” ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังได้รับความเดือดร้อนทางด้านการเงิน อย่างไรก็ดี คำถามถัดมาที่ผมเจออยู่บ่อยๆ ก็คือ “แล้วคนเราควรจะทำประกันชีวิตไว้ซักเท่าไรถึงจะพอ” ซึ่งคำตอบนั้น ก็คงต้องกลับไปที่คอนเซ็ปด์เดิมที่ว่า การประกันชีวิตเป็นความคุ้มครองที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลา ซึ่งถ้าคิดว่าคนข้างหลังของคนที่เสียชีวิตไปนั้น จะใช้เวลา 3 ปีในการปรับตัวหลังจากการพลังในการหาเงิน (Earning power) ได้หาย นั่นหมายความว่าคนๆ นั้นควรจะทำประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครองเท่ากับรายได้ของคนๆ นั้นถึง 3 ปี ดังนั้นคำตอบจึงไม่ตายตัวเพราะขึ้นกับคนซื้อประกันชีวิตว่ามีมุมมองอย่างไร ต่อการปรับตัวของคนข้างหลังที่อาจได้รับความเดือนร้อนหากคนที่ซื้อประกัน ชีวิตต้องมีอันจากไปก่อนเวลาอันควรค่ะ

          5. สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุและสุขภาพได้ – ซึ่งอาจจะได้ราคาที่ถูกกว่าการไปหาซื้อกรมธรรม์แยกส่วนอีกฉบับหนึ่งต่างหาก และความคุ้มครองจากสัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้อาจจะถูกออกแบบให้สามารถคุ้มครอง ได้มากกว่า เพราะในมุมมองของบริษัทประกันชีวิตแล้ว การคุ้มครองประกันชีวิตพร้อมกับอุบัติเหตุและสุขภาพไปด้วยนั้นจะมีผลในการ กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลกรมธรรม์นั้นก็จะน้อยกว่าการที่จะต้องออก กรมธรรม์ฉบับใหม่ด้วยค่ะ

          6. อื่นๆ – อันนี้ไม่ได้แช่ง แต่ทราบหรือไม่ครับว่าสำหรับคนล้มละลายแล้ว ถ้ามีทรัพย์สินหรือเงินเก็บไว้อยู่ ก็จะถูกบังคับคดีให้เอาไปชำระหนี้ซะทุกครั้ง แต่สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาเป็นรายๆ ไป ส่วนสำหรับคนที่จะแต่งงานนั้น ปกติเค้าจะใช้ทองเป็นสินสอด และมาระยะหลังๆ ก็มีโฉนดที่ดินหรือคอนโดฯ มากางกันให้เห็นเป็นสินสอดบ้าง ซึ่งถ้าหากว่าที่เจ้าบ่าวคนไหนได้อ่านเนื้อหาข้างบนจนเข้าใจแล้ว อยากเอาประกันชีวิตมาไว้เป็นสินสอดบ้างก็น่าจะเป็นความคิดที่ดีนะครับ เพราะเราว่ากรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นดูมีค่า มั่นคงและสามารถจับต้องได้มากกว่าทรัพย์สินอย่างอื่นอีก ฮ่าๆ... 

บทส่งท้าย 
    ก่อนจากกันในคราวนี้ ขอฝากทิ้งท้ายไว้ว่าการประกันชีวิตในสายตาของคนฮ่องกงและสิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งในอเมริกานั้นถือว่าการประกันชีวิตเป็นเครื่องมือในการวางแผน ทางการเงินระยะยาวสำหรับบั้นปลายในชีวิตของแต่ละคน และยิ่งผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เห็นคุณค่าของกรมธรรม์ประกันชีวิตมากยิ่งขึ้นเท่านั้น บริษัทประกันชีวิตจึงถือได้ว่าเป็นสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่ค้ำจุนสวัส ดิภาพของคนในสังคมได้เช่นกันค่ะ 

อ้างอิงจาก : โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) FSA, FRM 

Top Hit Website!!!

Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Copyright © 2014 All rights reserved : humanhistoryintheearth.weebly.com