ยุทธการคูเนอร์ดอร์ฟ โดยอเล็กซานเดอร์ โคท์เซอบิว
Alexander Kotzebue 1848
Alexander Kotzebue 1848
เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1756 จนถึงปี ค.ศ. 1763 โดยเกี่ยวข้องกับทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป สงครามเจ็ดปีเป็นสงครามระหว่างปรัสเซียและบริเตนใหญ่และกลุ่มนครรัฐเล็กในเยอรมนีที่ต่อต้านฝ่ายพันธมิตรที่ประกอบด้วยออสเตรีย, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สวีเดน และแซกโซนี โดยรัสเซียเปลี่ยนข้างอยู่ระยะหนึ่งในช่วงปลายของสงคราม
ต่อมาโปรตุเกส (ฝ่ายบริเตนใหญ่) และสเปน (ฝ่ายฝรั่งเศส) ถูกดึงเข้าร่วมในสงคราม และเนเธอร์แลนด์ที่เป็นกลางก็เข้าร่วมเมื่อถูกโจมตีในอินเดีย เพราะความกว้างขวางของสงครามที่กระจายไปทั่วโลกทำให้สงครามเจ็ดปีได้รับการบรรยายว่าเป็น “สงครามโลกครั้งแรก” ที่มีผลให้ผู้คนเสียชีวิตไปประมาณ 900,000 ถึง 1,400,000 คน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสมดุลทางอำนาจต่อผู้เข้าร่วมหลายประเทศ
สงครามเจ็ดปีเริ่มขึ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียทรงเข้ารุกรานแซกโซนี การต่อสู้ระหว่างบริเตน, ฝรั่งเศสและพันธมิตรของทั้งสองฝ่ายในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1754 สองปีก่อนที่สงครามโดยทั่วไปจะเกิดขึ้น การต่อสู้ในอเมริกาเหนือบางครั้งก็ถือว่าเป็นสงครามอีกสงครามหนึ่งที่เรียกว่าสงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน (French and Indian War)
แม้ว่าทวีปยุโรปจะเป็นสมรภูมิหลักของสงครามโดยทั่วไปแต่ผลของสงครามก็มิได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปมากจากก่อนสงครามเท่าใดนัก กลับกลายเป็นว่าผลกระทบกระเทือนในเอเชียและอเมริกามีมากกว่าและส่งผลที่ยาวนานกว่า สงครามยุติความเป็นมหาอำนาจการครองครองอาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกา ที่เสียดินแดนเกือบทั้งหมดในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเวสต์อินดีสบางส่วน ปรัสเซียยังคงเป็นมหาอำนาจและยังคงครอบครองบริเวณไซลีเซียที่เดิมเป็นของออสเตรีย บริเตนใหญ่กลายเป็นมหาอำนาจในการเป็นเจ้าของอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดในการครอบครองอาณานิคม
ที่มาของชื่อสงคราม
ในแคนาดา, ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร คำว่า “สงครามเจ็ดปี” หมายถึงความขัดแย้งในทวีปอเมริกาเหนือ ที่รวมทั้งความขัดแย้งในยุโรปและเอเชียด้วย ความขัดแย้งนี้แม้ว่าจะเรียกว่า “สงครามเจ็ดปี” แต่อันที่จริงแล้วเป็นสงครามที่ยาวเก้าปีเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1754 จนถึงปี ค.ศ. 1763 ในสหรัฐอเมริกาสงครามส่วนที่เกิดขึ้นที่นั่นมักจะเป็นที่รู้จักกันว่า “สงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน” แต่นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายท่านในสหรัฐอเมริกาเช่นเฟรด แอนเดอร์สันเรียกสงครามนี้ตามที่เรียกกันในประเทศอื่นว่า “สงครามเจ็ดปี” ไม่ว่าสงครามจะเกิดขึ้นที่ใด ในควิเบคความขัดแย้งนี้บางครั้งก็เรียกว่า “La Guerre de la Conquête” ที่แปลว่า “สงครามแห่งการพิชิต” ส่วนในอินเดียก็เรียกว่า “สงครามคาร์เนติค” (Carnatic Wars) ขณะที่การต่อสู้ระหว่างปรัสเซียและออสเตรียเรียกว่า “สงครามไซลีเซียครั้งที่ 3”
วินสตัน เชอร์ชิลล์ บรรยายสงครามนี้ว่าเป็น “สงครามโลก” เพราะเป็นความขัดแย้งที่นำมาซึ่งสงครามไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่าผู้ที่มีความขัดแย้งกันส่วนใหญ่มาจากยุโรปและจากอาณานิคมโพ้นทะเลที่เป็นของประเทศเหล่านั้น ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งเป็นความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในการขยายจักรวรรดิ สงครามเป็นเหตุการณ์สำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของสงครามร้อยปีครั้งที่ 2
ที่มาของสงคราม
สงครามเจ็ดปีมักจะถือกันว่าเป็นสงครามที่ต่อเนื่องมาจากสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1740 – ค.ศ. 1748 เมื่อพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียหรือพระเจ้าฟรีดริชมหาราชได้ดินแดนไซลีเซียมาจากออสเตรีย สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซาแห่งออสเตรียทรงจำต้องลงพระนามในสนธิสัญญาเอซ์-ลา-ชาเปลเพื่อเป็นการยุติสงคราม และซื้อเวลาในการสร้างเสริมกองทัพออสเตรีย และเสาะหาพันธมิตรทางการทหารใหม่ซึ่งทรงได้รับความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง แผนที่การเมืองของยุโรปได้รับการร่างใหม่ภายในสองสามปีหลังจากที่ออสเตรียยุติการเป็นพันธมิตรกับอังกฤษหลังจากที่ดำเนินมากว่ายี่สิบห้าปี ระหว่างช่วงที่เรียกกันว่าการปฏิรูปทางการทูตของปี ค.ศ. 1756 คู่อริเก่าที่ประกอบด้วยฝรั่งเศส ออสเตรีย และ รัสเซียก็ตกลงเป็นพันธมิตรในการต่อต้านปรัสเซียร่วมกัน
พันธมิตรหลักของปรัสเซียก็มีเพียงบริเตนใหญ่ ที่มีผู้ครองที่เป็นเจ้าของอาณาจักรเลือกตั้งแห่งฮาโนเวอร์ ผู้มีความพะวงถึงอันตรายของฮาโนเวอร์ที่มาจากฝรั่งเศส เมื่อดูตามสถานะการณ์แล้วคู่พันธมิตรดังกล่าวก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างที่สุด บริเตนมีราชนาวีที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในโลกในขณะนั้น ขณะที่ปรัสเซียมีกองทัพบกที่เป็นที่น่าเกรงขามที่สุดในยุโรป ซึ่งเป็นผลทำให้บริเตนใหญ่สามารถหันความสนใจไปในด้านการขยายตัวของอาณานิคมได้อย่างเต็มที่ บริเตนมีความหวังว่าการปฏิรูปทางการทูตจะมีผลให้สันติภาพมีโอกาสได้ดำเนินอยู่ต่อไป แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นสาเหตุของการปะทุของสงครามในปี ค.ศ. 1756
กองทัพออสเตรียได้รับการปรับปรุงสร้างเสริมขึ้นใหม่ตามแบบของระบบปรัสเซีย จักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซาผู้มีพระปรีชาสามารถทางด้านการทหารไม่น้อยกว่าผู้ใดทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความกดดันที่เป็นผลให้เกิดการปฏิรูประบบการทหารขึ้น ออสเตรียได้รับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายหลายครั้งต่อปรัสเซียในสงครามก่อนหน้านั้น และมีความไม่พึงพอใจต่อความช่วยเหลืออันจำกัดของฝ่ายบริติช ออสเตรียจึงได้ตั้งความหวังใหม่ว่าฝรั่งเศสจะมาเป็นพันธมิตรผู้สามารถช่วยกู้ไซลีเซียคืนจากปรัสเซียได้และยุติการขยายอำนาจของปรัสเซีย
สาเหตุที่สองของสงครามมาจากความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิอังกฤษ และ จักรวรรดิฝรั่งเศสเรื่องการขยายอาณานิคม ที่เป็นผลให้มีการกระทบกระทั่งกันอย่างประปราย ความขัดแย้งหนึ่งคืออำนาจในดินแดนโอไฮโอ (Ohio Country) ซึ่งเป็นหัวใจของทั้งสองจักรวรรดิในการขยายอำนาจในทวีปอเมริกาเหนือ จักรวรรดิทั้งสองจึงอยู่ในสถานะภาพของสงครามมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1754 แต่การปะทะกันขณะนั้นยังคงจำกัดอยู่แต่ในทวีปอเมริกาเท่านั้น
ต่อมาโปรตุเกส (ฝ่ายบริเตนใหญ่) และสเปน (ฝ่ายฝรั่งเศส) ถูกดึงเข้าร่วมในสงคราม และเนเธอร์แลนด์ที่เป็นกลางก็เข้าร่วมเมื่อถูกโจมตีในอินเดีย เพราะความกว้างขวางของสงครามที่กระจายไปทั่วโลกทำให้สงครามเจ็ดปีได้รับการบรรยายว่าเป็น “สงครามโลกครั้งแรก” ที่มีผลให้ผู้คนเสียชีวิตไปประมาณ 900,000 ถึง 1,400,000 คน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสมดุลทางอำนาจต่อผู้เข้าร่วมหลายประเทศ
สงครามเจ็ดปีเริ่มขึ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียทรงเข้ารุกรานแซกโซนี การต่อสู้ระหว่างบริเตน, ฝรั่งเศสและพันธมิตรของทั้งสองฝ่ายในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1754 สองปีก่อนที่สงครามโดยทั่วไปจะเกิดขึ้น การต่อสู้ในอเมริกาเหนือบางครั้งก็ถือว่าเป็นสงครามอีกสงครามหนึ่งที่เรียกว่าสงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน (French and Indian War)
แม้ว่าทวีปยุโรปจะเป็นสมรภูมิหลักของสงครามโดยทั่วไปแต่ผลของสงครามก็มิได้ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปมากจากก่อนสงครามเท่าใดนัก กลับกลายเป็นว่าผลกระทบกระเทือนในเอเชียและอเมริกามีมากกว่าและส่งผลที่ยาวนานกว่า สงครามยุติความเป็นมหาอำนาจการครองครองอาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกา ที่เสียดินแดนเกือบทั้งหมดในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเวสต์อินดีสบางส่วน ปรัสเซียยังคงเป็นมหาอำนาจและยังคงครอบครองบริเวณไซลีเซียที่เดิมเป็นของออสเตรีย บริเตนใหญ่กลายเป็นมหาอำนาจในการเป็นเจ้าของอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดในการครอบครองอาณานิคม
ที่มาของชื่อสงคราม
ในแคนาดา, ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร คำว่า “สงครามเจ็ดปี” หมายถึงความขัดแย้งในทวีปอเมริกาเหนือ ที่รวมทั้งความขัดแย้งในยุโรปและเอเชียด้วย ความขัดแย้งนี้แม้ว่าจะเรียกว่า “สงครามเจ็ดปี” แต่อันที่จริงแล้วเป็นสงครามที่ยาวเก้าปีเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1754 จนถึงปี ค.ศ. 1763 ในสหรัฐอเมริกาสงครามส่วนที่เกิดขึ้นที่นั่นมักจะเป็นที่รู้จักกันว่า “สงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน” แต่นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายท่านในสหรัฐอเมริกาเช่นเฟรด แอนเดอร์สันเรียกสงครามนี้ตามที่เรียกกันในประเทศอื่นว่า “สงครามเจ็ดปี” ไม่ว่าสงครามจะเกิดขึ้นที่ใด ในควิเบคความขัดแย้งนี้บางครั้งก็เรียกว่า “La Guerre de la Conquête” ที่แปลว่า “สงครามแห่งการพิชิต” ส่วนในอินเดียก็เรียกว่า “สงครามคาร์เนติค” (Carnatic Wars) ขณะที่การต่อสู้ระหว่างปรัสเซียและออสเตรียเรียกว่า “สงครามไซลีเซียครั้งที่ 3”
วินสตัน เชอร์ชิลล์ บรรยายสงครามนี้ว่าเป็น “สงครามโลก” เพราะเป็นความขัดแย้งที่นำมาซึ่งสงครามไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้ว่าผู้ที่มีความขัดแย้งกันส่วนใหญ่มาจากยุโรปและจากอาณานิคมโพ้นทะเลที่เป็นของประเทศเหล่านั้น ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งเป็นความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสในการขยายจักรวรรดิ สงครามเป็นเหตุการณ์สำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของสงครามร้อยปีครั้งที่ 2
ที่มาของสงคราม
สงครามเจ็ดปีมักจะถือกันว่าเป็นสงครามที่ต่อเนื่องมาจากสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรียที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1740 – ค.ศ. 1748 เมื่อพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซียหรือพระเจ้าฟรีดริชมหาราชได้ดินแดนไซลีเซียมาจากออสเตรีย สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซาแห่งออสเตรียทรงจำต้องลงพระนามในสนธิสัญญาเอซ์-ลา-ชาเปลเพื่อเป็นการยุติสงคราม และซื้อเวลาในการสร้างเสริมกองทัพออสเตรีย และเสาะหาพันธมิตรทางการทหารใหม่ซึ่งทรงได้รับความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง แผนที่การเมืองของยุโรปได้รับการร่างใหม่ภายในสองสามปีหลังจากที่ออสเตรียยุติการเป็นพันธมิตรกับอังกฤษหลังจากที่ดำเนินมากว่ายี่สิบห้าปี ระหว่างช่วงที่เรียกกันว่าการปฏิรูปทางการทูตของปี ค.ศ. 1756 คู่อริเก่าที่ประกอบด้วยฝรั่งเศส ออสเตรีย และ รัสเซียก็ตกลงเป็นพันธมิตรในการต่อต้านปรัสเซียร่วมกัน
พันธมิตรหลักของปรัสเซียก็มีเพียงบริเตนใหญ่ ที่มีผู้ครองที่เป็นเจ้าของอาณาจักรเลือกตั้งแห่งฮาโนเวอร์ ผู้มีความพะวงถึงอันตรายของฮาโนเวอร์ที่มาจากฝรั่งเศส เมื่อดูตามสถานะการณ์แล้วคู่พันธมิตรดังกล่าวก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างที่สุด บริเตนมีราชนาวีที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในโลกในขณะนั้น ขณะที่ปรัสเซียมีกองทัพบกที่เป็นที่น่าเกรงขามที่สุดในยุโรป ซึ่งเป็นผลทำให้บริเตนใหญ่สามารถหันความสนใจไปในด้านการขยายตัวของอาณานิคมได้อย่างเต็มที่ บริเตนมีความหวังว่าการปฏิรูปทางการทูตจะมีผลให้สันติภาพมีโอกาสได้ดำเนินอยู่ต่อไป แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นสาเหตุของการปะทุของสงครามในปี ค.ศ. 1756
กองทัพออสเตรียได้รับการปรับปรุงสร้างเสริมขึ้นใหม่ตามแบบของระบบปรัสเซีย จักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซาผู้มีพระปรีชาสามารถทางด้านการทหารไม่น้อยกว่าผู้ใดทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความกดดันที่เป็นผลให้เกิดการปฏิรูประบบการทหารขึ้น ออสเตรียได้รับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายหลายครั้งต่อปรัสเซียในสงครามก่อนหน้านั้น และมีความไม่พึงพอใจต่อความช่วยเหลืออันจำกัดของฝ่ายบริติช ออสเตรียจึงได้ตั้งความหวังใหม่ว่าฝรั่งเศสจะมาเป็นพันธมิตรผู้สามารถช่วยกู้ไซลีเซียคืนจากปรัสเซียได้และยุติการขยายอำนาจของปรัสเซีย
สาเหตุที่สองของสงครามมาจากความขัดแย้งระหว่างจักรวรรดิอังกฤษ และ จักรวรรดิฝรั่งเศสเรื่องการขยายอาณานิคม ที่เป็นผลให้มีการกระทบกระทั่งกันอย่างประปราย ความขัดแย้งหนึ่งคืออำนาจในดินแดนโอไฮโอ (Ohio Country) ซึ่งเป็นหัวใจของทั้งสองจักรวรรดิในการขยายอำนาจในทวีปอเมริกาเหนือ จักรวรรดิทั้งสองจึงอยู่ในสถานะภาพของสงครามมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1754 แต่การปะทะกันขณะนั้นยังคงจำกัดอยู่แต่ในทวีปอเมริกาเท่านั้น
ผู้ร่วมในสงคราเจ็ดปีทุกฝ่าย
น้ำเงิน: บริเตนใหญ่, ปรัสเซีย, โปรตุเกส และพันธมิตร
ฝเขียว: ฝรั่งเศส, สเปน, ออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และพันธมิตร
น้ำเงิน: บริเตนใหญ่, ปรัสเซีย, โปรตุเกส และพันธมิตร
ฝเขียว: ฝรั่งเศส, สเปน, ออสเตรีย, รัสเซีย, สวีเดน และพันธมิตร
วันที่ : ค.ศ. 1756–ค.ศ. 1763
สถานที่ : ยุโรป, แอฟริกา, อินเดีย, ทวีปอเมริกาเหนือ,ฟิลิปปินส์
ผลลัพธ์ : สถานภาพยังคงคงตัวโดยไม่มีเปลี่ยนแปลงในยุโรป
- สนธิสัญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
- สนธิสัญญาปารีส
- สนธิสัญญาฮูเบอร์ตัสเบิร์ก
ดินแดนเปลี่ยน : บริเตนและสเปนยึดอาณานิคมเกือบทั้งหมดของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ การควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของไซลีเซียโดยปรัสเซียยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สถานที่ : ยุโรป, แอฟริกา, อินเดีย, ทวีปอเมริกาเหนือ,ฟิลิปปินส์
ผลลัพธ์ : สถานภาพยังคงคงตัวโดยไม่มีเปลี่ยนแปลงในยุโรป
- สนธิสัญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
- สนธิสัญญาปารีส
- สนธิสัญญาฮูเบอร์ตัสเบิร์ก
ดินแดนเปลี่ยน : บริเตนและสเปนยึดอาณานิคมเกือบทั้งหมดของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ การควบคุมดินแดนส่วนใหญ่ของไซลีเซียโดยปรัสเซียยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
Seven Years' War
The Seven Years' War was a war that took place between 1754 and 1763 with the main conflict being in the seven-year period 1756–1763. It involved most of the great powers of the time and affected Europe, North America, Central America, the West African coast, India, and the Philippines. In the historiography of some countries, the war is alternatively named after combatants in the respective theatres: the French and Indian War as it is known in the United States or the War of the Conquest as it is known in French-speaking Canada, while it is called the Seven Years' War in English-speaking Canada (North America, 1754–63); Pomeranian War (with Sweden and Prussia, 1757–62); Third Carnatic War (on the Indian subcontinent, 1757–63); and Third Silesian War (with Prussia and Austria, 1756–63).
The war was driven by the antagonism between the great powers of Europe. Great Britain competed with both France and Spain over trade and colonies. Meanwhile rising power Prussia was struggling with Austria for dominance within and outside the Holy Roman Empire. In the wake of theWar of the Austrian Succession, the major powers "switched partners;" Prussia established an alliance with Britain while traditional enemies France and Austria formed an alliance of their own. The Anglo-Prussian alliance was joined by smaller German states (especially Hanover) and later Portugal. The Austro-French alliance included Sweden, Saxony and later Spain. The Russian Empire was originally aligned with Austria, but switched sides upon the succession of Tsar Peter III in 1762 and, like Sweden, concluded a separate peace with Prussia.
The war ended with the Treaty of Paris between France, Spain and Great Britain and the Treaty of Hubertusburg between Saxony, Austria and Prussia, both in 1763. The war was characterized in Europe by sieges and arson of towns as well as open battles involving extremely heavy losses; overall, some 900,000 to 1,400,000 people died.
The war was a success for Great Britain, which gained the bulk of New France in North America, Spanish Florida, some individual Caribbeanislands in the West Indies, the colony of Senegal on the West African coast and superiority over the French trading outposts on the Indian subcontinent. The native American tribes were excluded from the peace settlement, and were unable to return to their former status after the resulting Pontiac's War. In Europe the war began disastrously for Prussia but a combination of good luck and successful strategy saw KingFrederick the Great manage to retrieve the Prussian position and maintain the status quo ante bellum by the end of the war. The involvement of Portugal, Spain and Sweden did not return them to their former status as great powers. While France was deprived of many of its colonies and saddled with a heavy war debt, Spain lost Florida but gained French Louisiana and regained control of its colonies such as Cuba and the Philippines that had been captured by the British during the war.
The Seven Years' War was a war that took place between 1754 and 1763 with the main conflict being in the seven-year period 1756–1763. It involved most of the great powers of the time and affected Europe, North America, Central America, the West African coast, India, and the Philippines. In the historiography of some countries, the war is alternatively named after combatants in the respective theatres: the French and Indian War as it is known in the United States or the War of the Conquest as it is known in French-speaking Canada, while it is called the Seven Years' War in English-speaking Canada (North America, 1754–63); Pomeranian War (with Sweden and Prussia, 1757–62); Third Carnatic War (on the Indian subcontinent, 1757–63); and Third Silesian War (with Prussia and Austria, 1756–63).
The war was driven by the antagonism between the great powers of Europe. Great Britain competed with both France and Spain over trade and colonies. Meanwhile rising power Prussia was struggling with Austria for dominance within and outside the Holy Roman Empire. In the wake of theWar of the Austrian Succession, the major powers "switched partners;" Prussia established an alliance with Britain while traditional enemies France and Austria formed an alliance of their own. The Anglo-Prussian alliance was joined by smaller German states (especially Hanover) and later Portugal. The Austro-French alliance included Sweden, Saxony and later Spain. The Russian Empire was originally aligned with Austria, but switched sides upon the succession of Tsar Peter III in 1762 and, like Sweden, concluded a separate peace with Prussia.
The war ended with the Treaty of Paris between France, Spain and Great Britain and the Treaty of Hubertusburg between Saxony, Austria and Prussia, both in 1763. The war was characterized in Europe by sieges and arson of towns as well as open battles involving extremely heavy losses; overall, some 900,000 to 1,400,000 people died.
The war was a success for Great Britain, which gained the bulk of New France in North America, Spanish Florida, some individual Caribbeanislands in the West Indies, the colony of Senegal on the West African coast and superiority over the French trading outposts on the Indian subcontinent. The native American tribes were excluded from the peace settlement, and were unable to return to their former status after the resulting Pontiac's War. In Europe the war began disastrously for Prussia but a combination of good luck and successful strategy saw KingFrederick the Great manage to retrieve the Prussian position and maintain the status quo ante bellum by the end of the war. The involvement of Portugal, Spain and Sweden did not return them to their former status as great powers. While France was deprived of many of its colonies and saddled with a heavy war debt, Spain lost Florida but gained French Louisiana and regained control of its colonies such as Cuba and the Philippines that had been captured by the British during the war.
The Death of General Wolfe (1771) by Benjamin West, depicting the Battle of the Plains of Abraham aboveQuebec City, Canada.